วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2554

กฎระเบียบแม่ชีวัดท้าวโคตร

กฎระเบียบแม่ชีวัดท้าวโคตร

๑. แม่ชีทุกคนต้องอยู่ภายใต้การปกครองของเจ้าอาวาส

๒. แม่ชีจะใช้สิทธิครอบครองสมบัติของสงฆ์มาเป็นของตนไม่ได้

๓. แม่ชีทุกคนจะต้องช่วยกันเอาใจใส่ดูแล รักษาและรับผิดชอบสมบัติของสงฆ์ที่ตนใช้และอยู่อาศัย ถ้าทำส่วน

ใดขาดตกบกพร่อง แตกหัก ทำลายไปต้องชดใช้เท่าที่เสียไป สำหรับที่อยู่อาศัยถ้าส่วนใดชำรุด ผุพัง

ก็ต้องจัดการซ่อมแซมโดยไม่ปล่อยปละละเลย

๔. แม่ชีจะปลูกหรือก่อสร้างอะไรลงไปในธรณีสงฆ์ ต้องถวายเป็นของสงฆ์จึงจะปลูกสร้างลงไปได้

๕. แม่ชีต้องคัดเลือกตัวบุคคลของแม่ชีเองขึ้นมารับผิดชอบต่อหมู่คณะ

๖. แม่ชีที่ถูกแต่งตั้งขึ้นมานั้นต้องอยู่ภายใต้ดุลพินิจของเจ้าอาวาสด้วย

๗. ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าต้องพร้อมที่จะรับผิดชอบต่อหมู่คณะของตน

๘. ผู้ที่จะมาขอบวชกับแม่ชีท่านหนึ่งท่านใด ต้องไปพบกับหัวหน้าเพื่อขอใบรับสมัคร และระเบียบการของวัด

๙. แม่ชีผู้เป็นหัวหน้าต้องรับผิดชอบฝึกฝนผู้ที่มาติดต่อขอบวชนั้น ให้เป็นที่ถูกต้องของสถาบันแม่ชีแล้ว จึง

นำไปรับศีลขอบวช

๑๐. แม่ชีต้องท่องจำและเข้าใจข้อห้ามแห่งศีลที่ตนรักษานั้นได้ทุกข้อ และถือเป็นข้อวัตรปฏิบัติเป็นศีล

๑๑. ถ้าพลั้งเผลอผิดพลาดในศีลข้อใด ต้องแสดงโทษแห่งความผิดพลาดของตนให้ที่ประชุมได้ทราบในทุกวันโกน

๑๒. สำหรับผู้บวชใหม่ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของหัวหน้า

๑๓. ในกรณีที่ไม่รู้หนังสือต้องขวนขวายขอความช่วยเหลือจากเพื่อนพรหมจรรย์ ให้ฝึกกันจนกว่าจะจำและ

เข้าใจจนไม่ละเลย และหลังจากที่รับคำสั่งนี้แล้ว ห้ามหัวหน้าแม่ชีรับผู้ที่ไม่รู้หนังสือเข้ามาบวช (เว้นใน

กรณีที่บวชแก้บนและยอมรับกฎระเบียบนี้ได้เท่านั้น แต่ต้องสึกคามที่กำหนดไว้)

๑๔. ถ้าแม่ชีท่านใดที่บวชครบกำหนดแล้วแต่ศรัทธาที่จะอยู่ประพฤติพรหมจรรย์กันต่อไป หัวหน้าต้องส่งเสริม

เกื้อกูลให้เป็นอยู่ต่อไป

๑๕. หัวหน้าต้องไม่แสดงถึงความรังเกียจ เบียดบัง กีดกัน บีบคั้น หรือการกระทำใดๆที่มิชอบมิควรต่อผู้ที่อยู่

ภายใต้การปกครอง ที่มิได้กระทำผิดและบกพร่องในกกระเบียบ

๑๖. แม่ชีต้องไม่ออกไปเที่ยวอย่างสะเปะสะปะด้วยเหตุที่ไม่จำเป็น ถ้าต้องไปค้างคืนต้องกราบลาและแจ้ง

จุดประสงค์ พร้อมกับอบกุญแจห้องให้ด้วย

๑๗. ถ้าแม่ชีท่านใดออกจากวัดไปเกิน เดือน ถือเป็นการสละสิทธิ์ที่พักของตน หัวหน้าจะจัดให้ใครอยู่ก็ได้

อย่างหมดเงื่อนไข

๑๘. ผู้ออกไปแล้ว ถ้าจะมาอยู่ใหม่ต้องอยู่ในดุลพินิจของหัวหน้าหรือเจ้าอาวาส

๑๙. ถ้าแม่ชีท่านใดที่บวชอยู่นาน เกิดการขาดแคลนในปัจจัยสี่ หรือช่วยตัวเองไม่ได้ในกรณีใดๆ หัวหน้าต้อง

ช่วยพิจารณาสงเคราะห์ท่านผู้นั้นด้วยเหตุอันควร

๒๐. ถ้าแม่ชีท่านใดชอบความสันโดษ ต้องการออกภิกขาจารย์ เพื่อให้ชีวิตเป็นอยู่เนื่องด้วยผู้อื่นต้องประพฤติ

ตามวินัยของสงฆ์ที่ว่าด้วยบิณฑบาตอย่างถูกต้อง ถ้ากระทำมิได้ให้งดการกระทำนั้นเสีย

๒๑. แม่ชีบวชอยู่ประจำ ต้องท่องจำทำวัตร เช้า-เย็น อุปกิเลสและสาราณียธรรมให้ได้ และหัวหน้าต้องเอาใจ

ใส่ทดสอบให้ได้

๒๒. แม่ชีที่ไม่ผ่านการศึกษาธรรม ตรี-โท-เอก ต้องเข้าเรียนตามข้อบังคับของวัด สำหรับผู้ที่ไม่สามารถเข้าเรียน

ได้ หัวหน้าแม่ชีต้องรับผิดชอบในการจัดฝึกอบรมเป็นพิเศษ เน้นเรื่องคิหิปฏิบัติให้เป็นที่เข้าใจ

๑๒. ผู้ที่จะจัดฝึกหัดมาเป็นประธานนำสวด ต้องเลือกสรรบุคคลที่เหมาะสม ที่บุคคลส่วนใหญ่ยอมรับ และต้อง

จำบทสวดนั้นได้ด้วย

๒๔. แม่ชีที่ออกรับนิมนต์จากบุคคลภายนอก ต้องแต่งตัวอย่างสุภาพ มีความสังวรระวังในกริยามารยาทเป็น

อย่างดีและต้องจำบทที่สวดนั้นให้คล่อง

๒๕. แม่ชีท่านใดออกไปทำในสิ่งที่มิดีมิควรอย่างขาดความละอายใจ อันเป็นเหตุนำมาซึ่งความเสื่อมเสียต่อหมู่

คณะ ให้ทุกคนช่วยเป็นหูเป็นตาแนะนำเสนอในที่ประชุมด้วย

๒๖. แม่ชีต้องนัดประชุมเพื่อรับสุข-ทุกข์-ผิด-ถูก-บกพร่อง หรือร่วมปรับปรุงแก้ไขในเรื่องต่างๆ อันเป็น

ประโยชน์ต่อส่วนรวม ทุกๆวันโกนโดยพร้อมเพรียงกัน

๒๗. ในกรณีที่สงฆ์ขอความช่วยเหลือในทางที่ถูกที่ควรแล้ว แม่ชีต้องให้ความร่วมมืออย่างไม่ดุแคลน

๒๘. ถ้าแม่ชีท่านใดฝ่าฝืนในกฎระเบียบที่กล่าวมาแล้วหรือบกพร่อง ในเรื่องอื่นใดๆ อันเป็นเหตุมิควรให้

หัวหน้าเรียกมาตักเตือนสั่งสอนเป็นการส่วนตัว

พระครูวรวิริยคุณ

เจ้าอาวาสวัดท้าวโคตร

๑๐ ธันวาคม ๒๕๔๐

พิธีบวชชี-ชีพราหมณ์

พิธีบวชชี-ชีพราหมณ์

คำขอขมาโทษ

โย โธโส โมหะจิตเตนะ พุทธัสมิง ปะคะโต มะยา ชะมะถะ เม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสะตุ

โย โธโส โมหะจิตเตนะ ธัมมัสมิง ปะกะโต มะยา ชะมะถะ เม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสะตุ

โย โธโส โมหะจิตเตนะ สังฆัสมิง ปะกะโต มะยา ชะมะถะ เม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสะตุ

คำบวชชี

เอสาหัง ภัตเต, สุจิระปะรินิพพุตัมปิ, ตัง ภะคะวันตัง สะระณังคัจฉามิ, ธัมมัญจะ ภิกขุสังฆัญจะ, ปัพพัชชัง มัง ภันเต, สังโฆ ธาเรตุ อัชชะตัคเค ปาณุเปตัง คะตัง.

คำบวชชีพราหมณ์

เอสาหัง ภัตเต, สุจิระปะรินิพพุตัมปิ, ตัง ภะคะวันตัง สะระณังคัจฉามิ, ธัมมัญจะ ภิกขุสังฆัญจะ,

ละเภยยาหัง ภันเต, ตัสสะ ภะคะวะโต ธัมมะวินะเย, สีละจาริณี ละเภยยัง, ปัพพัชชัง ยาจามิ.

คำแปล

ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้เสด็จดับขันธพระปรินิพพานนานแล้ว กับทั้งพระธรรมและพรสงฆ์ ว่าเป็นสะระณะที่พึ่งที่ระลึก ขอพระสงฆ์จงจำข้าพเจ้าไว้ว่าเป็นผู้บวชในพระธรรมวินัย ผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสะระณะ ตลอดชีวิต ตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไป.

คำอาราธนศีล ๘

มะยัง ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ อัฏฐะ สีลานิ ยาจามะ (มิ)

ทุติยัมปิ มะยัง ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ อัฏฐะ สีลานิ ยาจามะ (มิ)

ตะติยัมปิ มะยัง ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ อัฏฐะ สีลานิ ยาจามะ (มิ)

หมายเหตุ ! ถ้าคนเดียวว่า อะหัง แทน มะยัง และ ยาจามิ แทน ยาจามะ

คำสมาทานศีล ๘

๑. ปาณาติปาตา เวระมณี สิกขาปะทัง สะมาธิยามิ

ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิขาบท คือ เว้นจากการฆ่าสัตว์ด้วยตนเองและไม่ใช้ให้คนอื่นฆ่า

๒. อะทินนาทานา เวระมณี สิกขาปะทัง สะมาธิยามิ

ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิขาบท คือ เว้นจากการลักฉ้อ ของผู้อื่นด้วยตนเองและไม่ใช้ให้คนอื่นลัก ฉ้อ

๓. อะพรัหมะจริยา เวระมณี สิกขาปะทัง สะมาธิยามิ

ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิขาบท คือ เว้นจากการอสัทธรรมกรรมอันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์

๔. มุสาวาทา เวระมณี สิกขาปะทัง สะมาธิยามิ

ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิขาบท คือ เว้นจากการพูดเท็จไม่เป็นจริงและคำล่อลวง

๕. สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมณี สิกขาปะทัง สะมาธิยามิ

ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิขาบท คือ เว้นจากการดื่ม กิน สุราเมรัย เครื่องดองของทำใจให้คลั่งต่างๆ

วิกาละโภชนา เวระมณี สิกขาปะทัง สะมาธิยามิ

ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิขาบท คือ เว้นจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล

นัจจะคีตะวาทิตะวิสูกะทัสสะนะมาลาคันธะวิเลปะนะธาระณะปัฌฑะนะวิภูสะนัฏฐานา เวระมณี สิกขาปะทัง สะมาธิยามิ

ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิขาบท คือ เว้นจากการดู ฟัง ฟ้อนรำ ขับร้องและประโคมเครื่องดนตรีต่างๆ และดูการละเล่นที่เป็นข้าศึกแก่กุศล และห้ามทัดทรงตกแต่งร่างกาย ด้วยเครื่องประดับและของหอม เครื่องทา เครื่องย้อม ผัดผิวให้งดงามต่างๆ

๘. อุจจาสะยะนะมะหาสะยะนา เวระมณี สิกขาปะทัง สะมาธิยามิ

ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิขาบท คือ เว้นจากการ

อิมานิ อัฏฐะ สิกขาปะทานิ สะมาทิยามิ (ว่า ๓ ครั้ง)

คำลาสิกขา-บวชชี-ชีพราหมณ์

อิมานิ อัฏฐะ สิกขาปทานิ นิกขิปามิ (ว่า 3 ครั้ง)

ข้าพเจ้าขอลาบวชี ชีพราหมณ์ไว้แต่เพียงเท่านี้

คำอาราธนาธรรม

คำอาราธนาธรรม

พรัหมา จะ โลกา ธิปะตีสหัมปะติ

กัตอัญชะลี อันธิวะรัง อะยาจะถะ

สันตีธะ สัตตาป- ปะระชักขชาติกา

เทเสตุ ธัมมัง อะนุกัมปิมัง ปะชัง

ท้าวสหัมบดีพรหม เป็นบรมในพรหมา

ทรงฤทธิศักดา กว่าบริษัททุกหมู่พรหม

น้อมหัตถ์นมัสการ ประดิษฐาน ณ ที่สม

ควรแล้วขอบังคม ชุลีบาทพระสัมมา

ขอพรอันประเสริฐ วะระเลิศมโหฬา

ปวงสัตว์ในโลกา กิเลสน้อยก็ยังมี

ขอองค์พระจอมปราชญ์ สู่ธรรมาสอันรูจี

โปรดปวงประชานี้ ท่านจงโปรดแสดงธรรม

นิมนต์ท่านเจ้าข้า ผู้ปรีชาอันเลิศล้ำ

โปรดแสดงพระสัจธรรม เทศนาและวาที

เพื่อให้สำเร็จผล แก่ปวงชนบรรดามี

สู่สุขเกษมศรี สมดังเจตนา เทอญ


อาราธนาธรรมพิเศษ

(ใช้อาราธนาในวันพระ ขึ้น,แรม ๑๔ ค่ำ หรือ ๑๔, ๑๕ ค่ำ)

จาตุททะสี ปัณณะระสี ยา จะ ปักขัสสะ อัฏฐะมี

กาลา พุทเธนะ ปัญญัตตา สัทธัมมัสสะวะนัสสิเม

อัฏฐะมี โข อะยันทานิ สัมปัตตา อะภิลักขิตา

เตนายัง ปะริสา ธัมมัง โสตุง อิธะ สะมาคะตา

สาธุ อัยโย ภิกขุสังโฆ กะโรตุ ธัมมะเทสะนัง

อะยัญจะ ปะริสา สัพพา อัฏฐิกัต์วา สุณาตุ ตันติฯ

หมายเหตุ ถ้าวันพระ ๑๕ ค่ำ ว่า ปัณณะระสี ถ้า ๑๔ ค่ำว่า จาตุททะสี

สิบสี่และสิบห้า ตามคุณาปักสิบสี่ (๘ ค่ำอัฏฐมี ๑๕ ค่ำปัณรสี)

โดยวิถีปักดีจันทร์ พระองค์ทรงโปรดให้

ชนทั้งหลายเกษมสันต์ ฟังธรรมประจำวัน

พระโปรดมั่นนิรันดร บัดนี้ขึ้นแปดค่ำ (ขึ้น ๑๕ ค่ำ)

วันฟังธรรมะสโมสร มาถึงอย่าพึงจร

ร่วมรับพรในสภา นิมนต์พระคุณเจ้า

โปรดชี้กล่าวเทศนา แก่เหล่าชาวประชา

ให้บ่ายหน้า ไปนิพพาน

บริษัททั้งหมดนี้ ตั้งใจดีทุกสถาน

ปราบจิตที่คิดซ่าน ค่อยฟังท่านแสดง เทอญฯ


คำสาธุการ(เฉพาะอุบาสิกา)

สาธุ สาธุ สาธุ

อะหัง พุทธัญจะ ธัมมัญจะ สังฆัญจะ สะระณัง คะตา

อุปาสิกัตตัง เทเสสิง ภิกขุสังฆัสสะ สัมมุขา

เอตัง เม สะระณัง เขมัง เอตัง สะระณะมุตตะมัง

เอตังสะระณะมาคัมมะ สัพพะทุกขา ปะมุจจะเย

ยะถาพลัง จะเรยยาหัง สัมมาสัมพุทธะสาสะนัง

ทุกขะนิสสะระณัสเสวะ ภาคินิสสัง อะนาคะเตฯ


คำอาราธนาพระปริตร

วิปัตติปะฏิพาหายะ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา

สัพพะ ทุกขะ วินาสายะ ปะริตัง พรูถะ มังคะลัง

วิปัตติปะฏิพาหายะ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา

สัพพะ ภะยะ วินาสายะ ปะริตัง พรูถะ มังคะลัง

วิปัตติปะฏิพาหายะ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา

สัพพะ โรคะ วินาสายะ ปะริตัง พรูถะ มังคะลัง


คำสมาทานพระกัมมัฏฐาน

คำสมาทานพระกัมมัฏฐาน
คำสมาทานกัมมัฏฐาน

อิมาหัง ภันเต ภะคะวา, อัตตะภาวัง ตุม์หากัง ปะริจจะชามิ
ข้าแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายชีวิตนี้ แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรมเจ้า คุณพระสงฆเจ้า อันหาประมาณมิได้ มาอภิบาลคุ้มครอง ปกปักรักษาข้าพเจ้า อย่าให้มีอุปสรรคและภัยอันตรายใดๆ ทั้งปวง ขอให้ดวงจิตของข้าพเจ้าตั้งอยู่ในสมาธิ เข้าถึงฌาน อภิญญา ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

คำสมาทานกัมมัฏฐาน (อีกแบบหนึ่ง)
อุกาสะ อุกาสะ ณ โอกาสะบัดนี้ ข้าพเจ้าขอสมาทาน เอาซึ่งพระกัมมัฏฐาน ขอให้สมาธิและวิปัสสนาญาณ จงบังเกิดมีในขันธสันดารของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะตั้งสติไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้ารู้ หายใจออกรู้สามหนหรือเจ็ดหน ร้อยหนหรือพันหน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

คำอธิฐานออกจากสมาธิ
ด้ายอานุภาพแห่งบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้สวดมนต์ไหว้พระ และเจริญพระกัมมัฏฐานมาแล้วนั้น ขอจงเป็นพลวปัจจัย เป็นอุปนิสัยตามส่ง ให้เกิดปัญญาญาณทั้งชาตินี้และชาติหน้า ตลอดชาติเป็นอย่างยิ่งจนถึงความพ้นทุกข์ คือ พระนิพพาน เทอญ

กรวดน้ำแบบสั้น
อิทัง เม ญาตินัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย
ขอบุญนี้จงสำเร็จ แก่ญาติทั้งหลาย ของข้าพเจ้าเถิด
ขอญาติทั้งหลายจงเป็นสุขๆ เถิด
ข้าพเจ้าตั้งจิตอุทิศผล
บุญกุศลนี้ไปให้ไพศาล
ถึงมารดาบิดาและอาจารย์
ทั้งลูกหลานญาติมิตรสนิทกัน
คนเคยร่วมทำงานการทั้งหลาย
มีส่วนได้ในกุศลผลของฉัน
ทั้งเจ้ากรรมนายเวรและเทวัญ
ขอให้ท่านได้กุศลผลนี้ เทอญ

คำแผ่เมตตา
สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
อะเวรา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรซึ่งกันและกันเลย
อัพยาปัชฌา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้พยาบาท เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
อะนีฆา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิดอย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย
สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด

คำลาพระรัตนตรัย
พุทธัง วันทามิ, ข้าพเจ้าไหว้พระพุทธเจ้า
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา, พุทธัง ภะคะวันตัง อภิวาเทมิ (กราบ ๑ ครั้ง)
ธัมมัง วันทามิ, ข้าพเจ้าไหว้พระธรรม
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, ธัมมัง นะมัสสามิ (กราบ ๑ ครั้ง)
สังฆัง วันทามิ, ข้าพเจ้าไหว้พระสงฆ์
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สังฆัง นะมามิ (กราบ ๑ ครั้ง)
มาตาปิตะรัง วันทามิ, ข้าพเจ้าไหว้บิดามารดา (กราบ ๑ ครั้ง)
อาจาริยัง วันทามิ, ข้าพเจ้าไหว้อาจารย์ (กราบ ๑ ครั้ง)
(ถ้าคนเดียวว่า ยัง หลายคนว่า เย )

การสังคายนาพระธรรมวินัย ๙ ครั้ง

การสังคายนาพระธรรมวินัย ครั้ง

พระครูวรวิริยคุณ (ปราโมทย์ ปสุโต) เจ้าอาวาสวัดท้าวโคตร

การสังคายนาพระธรรมวินัย หมายถึง การประชุมสงฆ์เพื่อชำระพระธรรมวินัยให้เป็นแบบเดียวกัน การร้อยกรองพระธรรมวินัย หมายถึง การรวบรวมคำสอนของพระพุทธเจ้า นำมาจัดระเบียบหมวดหมู่พระพุทธวจนะเสียใหม่ สืบเนื่องมาจากความคลาดเคลื่อนของพุทธวจนะ คัมภีร์ และเพื่อความมั่นคงแห่งพระพุทธศาสนา พุทธบริษัทผู้เป็นทายาทแห่งพระพุทธศาสนา มองเห็นภัยและคุณประโยชน์ดังกล่าว จึงจัดระเบียบหมวดหมู่พระพุทธวจนะเสียใหม่ โดยทบทวนระเบียบเดิมบ้าง เพิ่มเติมของใหม่บ้าง จัดระเบียบใหม่ในบางข้อบ้าง ในชั้นต้นกำหนดโดยมุขปาฐะและจารึกไว้เป็นหลักฐานในชั้นหลัง การสังคายนาพระธรรมวินัยเริ่มตั้งแต่หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานเป็นต้นมา

การนับสังคายนาพระธรรมวินัยของไทย

ตามหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรมของไทยรับรองการสังคายนาครั้งที่ ๑ – ๒ – ๓ ในอินเดีย และครั้งที่ ๑ – ๒ ในประเทศลังกา รวม ๕ ครั้ง ถือว่าเป็นประวัติที่ควรรู้เกี่ยวกับความเป็นมาแห่งพระธรรมวินัย แต่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงถือว่าการสังคายนาในลังกาทั้งสองครั้งเป็นเพียงสังคายนาเฉพาะประเทศ ไม่ควรจัดเป็นสังคายนาทั่วไป จึงทรงบันทึกพระมติไว้ในท้ายหนังสือพุทธประวัติ เล่ม ๓

แต่หนังสือสังคีติยวงศ์หรือประวัติแห่งการสังคายนา ซึ่งสมเด็จพระวันรัต วัดพระเชตุพนรจนาเป็นภาษาบาลีในรัชกาลที่ ๑ ตั้งแต่ครั้งเป็นพระพิมลธรรม ได้ลำดับความเป็นมาแห่งสังคายนาไว้ ๙ ครั้ง ดังต่อไปนี้

สังคายนาครั้งที่ ๑ – ๒ – ๓ ทำในประเทศอินเดีย

การสังคายนาครั้งที่ ๑ พระมหากัสสปเถระปรารภถ้อยคำของพระภิกษุชื่อสุภัททะ ผู้บวชเมื่อภายแก่ เมื่อรู้ข่าวปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ภิกษุทั้งหลายร้องไห้เศร้าโศก สุภัททภิกษุก็ห้ามภิกษุเหล่านั้นมิให้เสียใจร้องไห้ เพราะอ้างว่าต่อนี้ไปจะทำอะไรได้ตามใจแล้ว ไม่ต้องมีใครมาคอยชี้ว่า นี่ผิด นี่ถูก นี่ควร นี่ไม่ควร พระมหากัสสปเถระสลดใจในถ้อยคำของสุภัททภิกษุ จึงนำเรื่องเสนอที่ประชุมสงฆ์ แล้วเสนอชวนให้ทำสังคายนาร้อยกรองจัดระเบียบพระธรรมวินัย ซึ่งก็ได้รับความเห็นชอบและเพื่อกำหนดมิให้ผู้ใดละเมิดต่อไป

การทำสังคายนาครั้งนี้กระทำหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ ๓ เดือนทำ ณ ถ้ำสัตตบรรณคูหา ข้างภูเขาเวภารบรรพต ใกล้กรุงราชคฤห์ประเทศอินเดีย พระมหากัสสปเถระเป็นประธาน และเป็นผู้สอบถาม พระอุบาลีเป็นผู้ตอบข้อซักถามทางพระวินัย พระอานนท์เป็นผู้ตอบข้อซักถามทางพระสูตร พระเจ้าอชาตศัตรูทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ มีพระอรหันต์ประชุมกัน ๕๐๐ รูป การทำสังคายนาครั้งนี้ใช้เวลาประชุมสงฆ์ ๗ เดือนจึงสำเร็จ

การสังคายนาครั้งที่ ๒ พระยสกากัณฑกบุตร ปรารภข้อปฏิบัติย่อหย่อนทางวินัย ๑๐ ประการ ของพวกภิกษุวัชชีบุตร คือ เก็บเกลือไว้ในเขนง (เขาสัตว์) เพื่อฉันกับอาหารที่มีรสไม่เค็มได้ ฉันอาหารเมื่อเงาเลยเวลาเที่ยงไป ๒ องคุลี (นิ้ว)ได้ เข้าบ้านฉันอาหารที่ไม่เป็นเดนได้ ทำอุโบสถแยกกันในอาวาสที่มีเสมาเดียวกันได้ ทำสังฆกรรม ในเมื่อภิกษุทั้งหลายมาไม่พร้อมกันแล้วอนุมัติภายหลังได้ ประพฤติตามแบบที่พระอุปัชฌาย์อาจารย์เคยประพฤติมาได้ ฉันนมสดที่แปรไปแล้วแต่ยังไม่เปรี้ยวได้ ดื่มสุราอย่างอ่อนๆ ได้ ใช้ผ้ารองนั่งที่ไม่มีชายได้ และรับทองรับเงินได้ ชักชวนพระเถระผู้ใหญ่ร่วมมือในการนี้ ดังที่ปรากฏชื่อมี ๘ รูป คือ พระสัพพกามี พระสาหฬะ พระขุชชโสภิตะ พระวาสภคามิกะ พระเรวตะ พระสัมภูตะ สาณวาสี พระยสะ และ พระสุมนะ ให้ช่วยกันวินิจฉัยแก้ความถือผิดครั้งนี้

การทำสังคายนาครั้งนี้กระทำหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ ๑๐๐ ปี ทำ ณ วาลิการาม เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี ประเทศอินเดีย พระยสกากัณฑกบุตร เป็นประธานและผู้ชักชวนในการสังคายนา พระเรวตะเป็นผู้ปุจฉา พระสัพพกามีเป็นผู้วิสัชนา ได้กระทำสังคายนาเพื่อชำระมลทินในพระพุทธศาสนา พระเจ้ากาลาโศกราชทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ มีพระสงฆ์ประชุมกัน ๗๐๐ รูป การทำสังคายนาครั้งนี้ใช้เวลาประชุมสงฆ์ ๘ เดือนจึงสำเร็จ

การสังคายนาครั้งที่ ๓ พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระปรารภพวกเดียรถีร์หรือนักบวชศาสนาอื่นมาปลอมบวชในพระพุทธศาสนาเพื่อลาภสักการะ แล้วแสดงลัทธิศาสนาและความเห็นของตนว่าเป็นพระพุทธศาสนา พระภิกษุสงฆ์ไม่ได้ทำอุโบสถ และไม่ได้ทำปวารนากันถึง ๗ ปี พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ได้ขอความอุปถัมภ์จากพระเจ้าอโศกมหาราช ชำระสอบสวนและกำจัดเดียรถีร์เหล่านั้นออกจากพระธรรมวินัย

การทำสังคายนาครั้งนี้กระทำหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ ๒๓๔ หรือ ๒๓๕ ปี ทำ ณ อโศการาม กรุงปาฏลีบุตร แคว้นมคธ ประเทศอินเดีย พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระเป็นประธานและผู้ถาม พระมัชฌันติกเถระ พระมหาเทวเถระ และภิกษุชาวเมืองปาฏลีบุตรเป็นผู้ตอบ พระเจ้าอโศกมหาราชทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ มีพระสงฆ์ประชุมกัน ๑,๐๐๐ รูป การกระทำสังคายนาครั้งนี้ใช้เวลา ๙ เดือนจึงสำเร็จ

เมื่อทำสังคายนาครั้งที่ ๓ เสร็จแล้วพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระได้พิจารณาเห็นว่า พระพุทธศาสนาจักไม่ตั้งมั่นในชมพูทวีป แต่จักไปตั้งมั่นในนานาประเทศ จึงได้ขอความอุปถัมภ์พระเจ้าอโศกมหาราชให้จัดส่งสมณทูตไปประกาศพระพุทธศาสนา ๙ สาย คือ

สายที่ ๑ พระมัชฌันติกเถระพร้อมด้วยคณะไปประกาศพระพุทธศาสนา ณ แคว้น กัสมีระ และแคว้นคันธาระ ปัจจุบันได้แก่ ดินแดนแถบตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย และบางส่วนของประเทศอัฟกานิสถาน

สายที่ ๒ พระมหาเทวเถระพร้อมด้วยคณะไปประกาศพระพุทธศาสนา ณ แคว้นมหิสมณฑล ปัจจุบันได้แก่ แคว้นไมซอร์หรือมานธาดา และบริเวณลุ่มแม่น้ำโคธาวารี ทางภาคใต้ของอินเดีย

สายที่ ๓ พระรักขิตเถระพร้อมด้วยคณะไปประกาศพระพุทธศาสนา ณ วนวาสีประเทศ ได้แก่ แคว้นกนราเหนือ ภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย

สายที่ ๔ พระธรรมรักขิตเถระพร้อมด้วยคณะไปประกาศพระพุทธศาสนา ณ อปรันตปชนบท ได้แก่ ดินแดนแถบชายทะเลเหนือเมืองบอมเบย์ในประเทศอินเดีย

สายที่ ๕ พระมหาธรรมรักขิตเถระพร้อมด้วยคณะไปประกาศพระพุทธศาสนา ณ แคว้นมหาราษฏร์ ได้แก่ ดินแดนแถบตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองบอมเบย์ในประเทศอินเดีย

สายที่ ๖ พระมหารักขิตเถระพร้อมด้วยคณะไปประกาศพระพุทธศาสนา ณ โยนกประเทศ ได้แก่ แคว้นของฝรั่งชาติกรีกในทวีปเอเชียกลางเหนือประเทศอิหร่านขึ้นไปจนถึงเตอรกีสถาน

สายที่ ๗ พระมัชฌิมเถระ พร้อมด้วยพระกัสสปโคตตเถระ พระอฬกเทวเถระ พระทุนทภิสสรเถระ พระสหัสสเทวเถระ ไปประกาศพระพุทธศาสนา ณ ดินแดนแถบภูเขาหิมาลัย

สายที่ ๘ พระโสณเถระ พระอุตตรเถระพร้อมด้วยคณะไปประกาศพระพุทธศาสนา ณ ดินแดนสุวรรณภูมิ ได้แก่ ดินแดนแถบประเทศพม่า ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย

สายที่ ๙ พระมหินทเถระ พระโอรสของพระเจ้าอโศกมหาราช พร้อมด้วยพระอิฏฏิยเถระ พระอุตติยเถระ พระสัมพลเถระ และพระภัททสารเถระ และคณะไปประกาศพระพุทธศาสนา ณ ลังกาทวีป คือ ประเทศศรีลังกา

สังคายนาครั้งที่ ๔-๕ ทำในลังกา คือ ครั้งที่ ๑ ที่ ๒ ที่ทำในลังกา

การสังคายนาครั้งที่ ๔ พระมหินทเถระเป็นพระโอรสของพระเจ้าอโศกมหาราช พร้อมด้วยพระเถระ ๕ รูป ได้เดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในลังกา ได้พบกับพระเจ้าเทวานัมปิยติสส แสดงธรรมให้พระราชาเลื่อมใส และประดิษฐานพระพุทธศาสนาลงในลังกา การสังคายนาครั้งนี้พระมหินทเถระปรารถนาที่จะประดิษฐานพระพุทธศาสนาให้มั่นคงในลังกาทวีปและเป็นการวางรากฐานให้ชาวลังกาท่องจำพุทธวจนะ ตามแนวที่จัดระเบียบไว้ในการสังคายนาครั้งที่ ๓ ในอินเดีย

การทำสังคายนาครั้งนี้กระทำหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ ๒๓๘ ปี ทำ ณ ถูปาคาม เมืองอนุราชบุรี ประเทศศรีลังกา พระมหินทเถระเป็นประธานและเป็นผู้ถาม พระอริฏฐเถระเป็นผู้ตอบ พระเจ้าเทวานัมปิยติสสทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ มีพระสงฆ์ประชุมกัน ๖๘,๐๐๐ รูป การทำสังคายนาครั้งนี้ใช้เวลาประชุมสงฆ์ ๑๐ เดือนจึงสำเร็จ

การสังคายนาครั้งที่ ๕ พระพุทธทัตตเถระปรารภเหตุว่า ถ้าจะใช้วิธีท่องจำพระพุทธวจนะอีกต่อไปก็อาจจะมีข้อวิปริตผิดพลาดได้ง่าย เพราะปัญญาในการท่องจำของมนุษย์เสื่อมถอยลง จึงตกลงจารึกพระพุทธวจนะลงในใบลานและได้จารึกอรรถกถาลงไว้ด้วย

การทำสังคายนาครั้งนี้กระทำหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ ๔๓๓ ปี ทำ ณ อาโลกเลณสถาน มตเลชนบทหรือมลัยชนบท ประเทศศรีลังกา พระพุทธทัตตเถระเป็นประธานและเป็นผู้ถาม พระมหาติสสเถระเป็นผู้ตอบ พระเจ้าวัฏฏคามนีอภัยทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ มีพระสงฆ์ประชุมกัน ๑,๐๐๐ รูป การทำสังคายนาครั้งนี้ใช้เวลาประชุมสงฆ์ ๑ ปีจึงสำเร็จ

การสังคายนาครั้งที่ ๖ พระพุทธโฆสเถระหรือพระพุทธโฆษาจารย์ ซึ่งเป็นพระมหาเถระชาวชมพูทวีป ผู้เปรื่องปราดมีความรู้แตกฉานในพระไตรปิฎกและเป็นนักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาและภาษาบาลี พิจารณาเห็นว่าคัมภีร์อรรถกถาแห่งพระไตรปิฎกนั้นมีสมบูรณ์ บริบูรณ์อยู่แล้วในลังกาทวีป แต่ยังเป็นภาษาสิงหล ท่านจึงเดินทางไปลังกาทวีป ขอความอุปถัมภ์จากพระเจ้ามหานามเพื่อแปลและเรียบเรียงคัมภีร์อรรถกถาจากภาษาสิงหลเป็นภาษามคธ เพื่อให้เป็นตันติภาษา คือ ภาษาที่มีแบบแผนให้สอดคล้องกับคัมภีร์พระไตรปิฎก ซึ่งจะได้รับประโยชน์อย่างกว้างขวางอีกต่อไป นับเป็นการสังคายนาครั้งที่ ๓ ในลังกาทวีป

การทำสังคายนาครั้งนี้กระทำเมื่อ พ.ศ. ๙๕๖ ทำ ณ โลหปราสาท เมืองอนุราธปุระ ประเทศศรีลังกา พระพุทธโฆสเถระเป็นประธาน พระเจ้ามหานามทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ ใช้เวลาในการทำสังคายนาครั้งนี้เป็นเวลา ๑ ปีจึงสำเร็จ

การสังคายนาครั้งที่ ๗ พระมหากัสสปเถระและคณะสงฆ์ได้พิจารณาเห็นว่าคัมภีร์พระไตรปิฎก ซึ่งเรียกว่า ปาลิ นั้นเป็นภาษามคธอักษรบาลี คัมภีร์อธิบายพระไตรปิฎกเรียกว่า อรรถกถาได้แปลและเรียบเรียงเป็นภาษามคธ อันเป็นตันติภาษาที่สอดคล้องกับคัมภีร์พระไตรปิฎกแล้ว ส่วนคัมภีร์อธิบายอรรถกถาเรียกว่า ฎีกา และคัมภีร์อธิบายฎีกา เรียกว่า อนุฎีกา ที่ยังไม่ได้แปลและเรียบเรียงเป็นภาษามคธ ซึ่งเป็นภาษาสิงหลบ้าง ภาษาสิงหลปะปนกับภาษามคธบ้าง จึงควรจะได้แปลและเรียบเรียงเป็นภาษามคธให้หมด จึงได้ดำเนินการแปลและเรียบเรียงคัมภีร์ดังกล่าวเป็นภาษามคธ ให้เป็นตันติภาษา คือ ภาษาที่มีแบบแผน เช่นเดียวกับคัมภีร์พระไตรปิฎกและคัมภีร์อรรถกถา นับเป็นการสังคายนาครั้งที่ ๔ ในลังกาทวีป

การทำสังคายนาครั้งนี้กระทำเมื่อ พ.ศ. ๑๕๘๗ นักวิชาการทางพระพุทธศาสนาสันนิษฐานว่าน่าจะกระทำที่โลหปราสาท เมืองอนุราธปุระ ประเทศศรีลังกา พระมหากัสสปเถระเป็นประธาน พระเจ้าปรักกมพาหุทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ มีพระสงฆ์ประชุมกัน ๑,๐๐๐ รูป ใช้เวลาในการทำสังคายนาครั้งนี้เป็นเวลา ๑ ปีจึงสำเร็จ

การสังคายนาครั้งที่ ๘ พระธรรมทินเถระได้พิจารณาเห็นว่า พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และอนุฎีกา ซึ่งมีข้อวิปลาสคลาดเคลื่อนอยู่มาก ด้วยการจำลองหรือคัดลอกกันต่อๆ มาเป็นเวลาช้านาน จึงได้เข้าเฝ้าถวายพระพรขอความอุปถัมภ์จากพระเจ้าติโลกราช เพื่อตรวจชำระพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และอนุฎีกาให้ถูกต้องเสียใหม่

การทำสังคายนาครั้งนี้กระทำเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๐๒๐ ทำ ณ วัดโพธาราม เมืองพิสิกร คือ เมืองเชียงใหม่ ประเทศไทย พระธรรมทินเถระเป็นประธานและเป็นการกสงฆ์ คือ กรรมการเฉพาะกิจสงฆ์ในการเลือกพระสงฆ์จำนวนหลายร้อยรูป ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และอนุฎีกาแล้วจารึกลงไว้ในใบลานด้วยอักษรธรรมของล้านนา นับเป็นการสังคายนาครั้งที่ ๑ ในอาณาจักรล้านนา พระเจ้าติโลกราชหรือพระเจ้าศิริธรรมจักรวรรดิดิลกราชทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ การทำสังคายนาครั้งนี้ใช้เวลาประชุมสงฆ์ ๑ ปีจึงสำเร็จ

การสังคายนาครั้งที่ ๙ ทำในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๑ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปฐมกษัตริย์แห่งราชจักรีวงศ์ กรุงรัตนโกสินทร์ ได้ทรงอาราธนาพระสงฆ์ให้ชำระพระไตรปิฎก เพื่อชำระและแปลพระไตรปิฎกฉบับอักษรลาว และอักษรรามัญให้เป็นอักษรขอมแล้วจารึกลงใบลาน เรียกว่า พระไตรปิฎกฉบับทอง ในครั้งนั้นมีพระสงฆ์ร่วมประชุม ๒๑๘ รูป ราชบัณฑิตอาจารย์อุบาสก ๓๒ คน สมเด็จพระสังฆราชเป็นแม่กองชำระพระสุตตันตปิฎก พระวันรัตเป็นแม่กองชำระพระวินัยปิฎก พระพิมลธรรมเป็นแม่กองชำระพระอภิธัมมปิฎก และพระพุฒาจารย์เป็นแม่กองชำระสัททาวิเสส (ตำราไวยากรณ์และอธิบายศัพท์ต่างๆ) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระอนุชาทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ ใช้เวลาในการทำสังคายนาครั้งนี้ ๕ เดือนจึงสำเร็จ